หากได้นั่งจิบชาหอมกรุ่น รสชาติละมุนท่ามกลางบรรยากาศอันสุขสงบ จะมีอะไรสุนทรีย์เท่านี้อีกหน่อ…. ชาเขียวอันเลื่องชื่อของชาวญี่ปุ่นที่เราคุ้นเคยกันดีนั้น ก่อนจะมีแบบพร้อมดื่ม เปิดฝาปั๊ปกระดกขวดปุ๊บนั้น มีที่มาที่ไป ผ่านประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,000 ปีเชียวค่ะ มีประวัติบันทึกไว้ว่า ชานั้นได้รับอิทธิพลมาจากจีนและเริ่มมีการนำเข้าสู่ญี่ปุ่นโดยคณะทูตในช่วงสมัยนาระ (ราวศตวรรษที่ 8) แต่มาแพร่หลายเอาเมื่อช่วงสมัยคามุระและในสมัยมุโรมาจิ (ราวศตวรรษที่ 12 – 15)
ซึ่งคาดว่าคณะสงฆ์ในนิกายมหายานได้ริเริ่มแบบแผนการดื่มชาในวัดเซน โดยจะปฏิบัติไปพร้อมๆ กับการปฏิบัติธรรม จากนั้นจึงแพร่หลายเข้าสู่ราชสำนัก หมู่นักรบขุนนางชั้นสูง ต่อมา เซน ริกิว ก็สร้างแบบแผนของพิธีชงชาขึ้น จนได้รับการยอมรับอย่างยิ่งในสมัยนั้น นับแต่นั้นพิธีชงชาก็กลายเป็นพิธีที่ประณีต งดงาม ขรึงขลัง จนถือเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของประเทศญี่ปุ่น ที่ไม่ว่าชาติใดๆ ก็ต้องรู้จักและอยากลิ้มลองรสชาเขียวจากพิธีการนี้สักครั้ง
ชาที่นิยมดื่มและใช้ในพิธีชงชานั้นคือชาเขียวค่ะ การทำไร่ชาของชาวญี่ปุ่นจะนิยมทำกันตามเชิงเขาที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา และในแต่ละพื้นที่ก็จะให้รสชาติชาที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและคุณภาพของดิน ซึ่งส่วนที่นำมาทำชาคุณภาพดีนั้นจะเป็นส่วนของยอดอ่อนที่อยู่บนสุด และเครื่องมือการเก็บชาที่ดีที่สุดคือมือมนุษย์เรานี่แหละค่ะ หลังจากนั้นก็นำชามาแปรรูป ซึ่งจะมีหลายแบบ ทั้งการตากแห้ง การหมัก การอบด้วยไอน้ำเดือด การนำมาคั่วไปจนถึงการนำมารีดใบให้แห้ง ทำให้ยุ่ย บิดงอ เพื่อให้เกิดกลิ่นหอมของชาออกมา ซึ่งชาเขียวที่ใช้ในพิธีการชงชานั้นจะต้องผ่านการบดให้เป็นผงละเอียดเรียกว่า ” มัทฉะ ” (抹茶)
นอกจากวัตถุดิบสำคัญนี้แล้ว ก็ยังมีอุปกรณ์อย่าง ถ้วยชา ที่เกือบทุกบ้านจะเลือกใช้ถ้วยที่สวยงาม โชว์ศิลปะหรือความพิเศษเฉพาะตัว บางถ้วยมีคุณค่าเป็นมรดกตกทอดประจำตระกูลกันเลยทีเดียว นอกจากนั้นก็จะมีกระปุกสำหรับใส่ผงชาเขียว ช้อนตักชาที่เป็นช้อนไม้ใผ่ขนาดเล็กๆ ปลายงอเล็กน้อย ไม้ชงชาจะมีลักษณะคล้ายๆ ที่ตีไข่แต่ขนาดเล็กกว่า โดยส่วนที่ใช้คนจะนำไม้ใผ่ซี่บางๆ มาดัดให้โค้งงอ มีความละเอียด 2 แบบ คือ 80 ซี่และ 120 ซี่ ค่ะ และก็จะมีหม้อต้มน้ำร้อน กระบวยตักน้ำ ผ้าเช็ดอุปกรณ์เป็นหลัก ซึ่งยิ่งเป็นพิธีการชั้นสูงก็จะยิ่งมีอุปกรณ์ต่างๆ เยอะขึ้นอีกค่ะ
พิธีชงชาหรือ ” ชาโนยุ ” (茶の湯) นั้นถือว่าเป็นธรรมเนียมที่เคร่งครัด มีพิธีรีตอง ตั้งแต่ท่าทางการนั่ง การจับเครื่องมือ การตักน้ำ ไปจนถึงการดื่มเลยทีเดียวค่ะ ด้วยเหตุนี้จึงมีสถาบันการเรียนการสอนพิธีชงชากันโดยเฉพาะ ซึ่งบางแห่งเรียนกันเป็นปีๆ เลยล่ะค่ะ ขั้นตอนคร่าวๆ ในพิธีชงชานั้นจะเริ่มจากการเชิญแขกเข้าสู่ห้องชงชา ซึ่งจะจัดแบบเรียบง่าย ขนาดไม่ใหญ่มากนัก มีของตกแต่งอย่างแจกันดอกไม้แบบญี่ปุ่น หรือภาพห้อยประดับผนัง พื้นห้องจะปูด้วยเสื่อทาทามิ ซึ่งจะมีส่วนที่ทำเป็นช่องเล็กๆ สำหรับวางเตาและหม้อต้มน้ำร้อนสำหรับชงชา
จากนั้นผู้ดำเนินการชงชาที่แต่งชุดกิโมโนอย่างสวยงามก็จะนั่งลงอย่างสงบนิ่ง เริ่มเช็ดถ้วยชาอย่างช้าๆ เสร็จแล้วก็จะใช้ช้อนตักผงชาเขียวใส่ถ้วย ตามด้วยการตักน้ำร้อนจากหม้อ ใช้ที่คนชาคนเบาๆ และตีแรงขึ้นจนคล้ายการตีไข่ให้ชาขึ้นฟอง เมื่อได้ที่ก็จะยกถ้วยชาขึ้นหมุนประมาณ 3 ครั้งแล้ววางไว้ด้านหน้าผู้ดื่มค่ะ ผู้ดื่มจะโค้งเล็กน้อย พร้อมยื่นมือขวาจับถ้วยชาขึ้นวางบนฝ่ามือซ้าย หมุนถ้วยชาตามเข็มนาฬิกา
จากนั้นยกขึ้นดื่มภายใน 3 ครั้งจนหมดค่ะ ว่ากันว่าครั้งสุดท้ายนั้นต้องดื่มให้มีเสียงดังๆ เป็นการแสดงถึงมารยาทและความชื่นชอบในรสชาติของชาด้วยนะคะ ดื่มเสร็จหมุนถ้วยชากลับมาอีกครั้ง แล้ววางลงค่ะ หลายคนอาจสงสัยทำไมต้องทำการหมุนถ้วยชากลับอีกครั้ง แล้ววางลงค่ะ หากสังเกตดีๆ การหมุนถ้วยชานี้ ที่บางตำราบอกจำนวนครั้งหรือระยะการหมุนเป็นองศาเลยนั้น จริงๆ แล้วมันคือการโชว์ศิลปะความงามของถ้วยชา
การผสมผสานของญี่ปุ่นการดื่มชาเขียวในประเทศไทย
โดยในยุคสมัยนี้การดื่มชาเขียวของไทยมีการแพร่หลายมากด้วยการที่มีการรับวัฒนธรรมแบบญี่ปุ่นที่มีการผสมผสานของวัฒนธรรม เพื่อแลกเปลี่ยนวิถีการดื่ม การรับประทาน แต่ยังคงไว้ด้วยวัฒนธรรมดั้งเดิมแม้ว่าจะมีการแพร่กระจายของวัฒนธรรมในประเทศไทยก็ตาม เมื่อมองถึงค่านิยมการดื่มชาเขียวส่วนใหญ่ร้านขายเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมักจะประกอบด้วยชาเขียวเป็นส่วนผสมอยู่ด้วยซึ่งการดื่มชาเขียวอาจจะประกอบด้วยข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป แต่เพียงว่าผู้คนจะเลือกดื่มปริมาณหรือน้อยก็แล้วแต่สมควร
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับชาเขียว
มนุษย์รู้จักดื่มชา เมื่อ 2737 ปีก่อนคริสต์ศักราช ต้นชามีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Camellia sinensis กําเนิดของต้นชามาจากประเทศจีน พันธุ์ชามีมากกว่า 2,000 พันธุ์ชาที่จําหน่ายแบ่งได้ 7 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่
- ชาขาว (White tea) ใบของชามีสีเขียวอ่อน ปกคลุมด้วยขนขาวๆ ใบจะตากแห้งโดยใช้แสง แดดเมื่อชงชาแล้วจะได้ชาที่มีสีซีดมาก
- ชาเขียว (Green tea) ใบของชามีสีเขียว ใบแห้งทําโดยการนําชาสดคั่วหรืออบไอน้ำเพื่อ ทําลายเอนไซม์ และป้องกันการออกซิเดชันของโปลีฟีนอล (Polyphenol) เมื่อชงจะได้เครื่อง ดื่มสีเขียว
- ชาแดง (Red tea) ใบของชาเขียว ได้ผ่านกระบวนการออกซิเดชันหรือการหมัก จนได้เป็นใบ ชาสีเข้ม เมื่อชงจะได้เครื่องดื่มสีออกน้ำตาลแดง
- ชาดํา (Black tea) ใบของชาเขียว ผ่านกระบวนการหมักเต็มที่ทําให้ใบออกสีดําเข้ม ใบทําให้ แห้งโดยการใช้เครื่องอบ เครื่องดื่มที่ได้จะออกสีแดงเข้มจนดูดํา
- ชาอูลองเขียว (Green oolong) ใบของชาเขียวถูกออกซิไดซ์ 15 – 20 % ก่อนเข้าเครื่องอบ แห้ง เครื่องดื่มที่ได้จะมีสีเขียวทอง
- ชาอูลองแดง (Red oolong) ใบของชาเขียวถูกออกซิไดซ์ 15 – 20 % ก่อนเข้าเครื่องอบแห้ง เครื่องดื่มที่ได้จะมีสีออกน้ำตาลแดงเข้ม
- ชากลิ่น (Scented tea) เพิ่มกลิ่นโดยการเติมดอกไม้ ผลไม้ เซียนชามักกล่าวว่า ชากลิ่น มักใช้ ใบชาที่มีคุณภาพต่ำมาแต่งกลิ่นลงไป นิยมใช้ชาดํา ยกเว้นชากลิ่นมะลิ